|
|
|
Q: |
เก็บข้อมูลจากเวชระเบียน โดยที่ไม่ยุ่งกับคนไข้เลย, งานวิจัยด้าน AI วิเคราะห์ภาพ x-ray ว่ามีรอยโรคหรือไม่ จะต้องขออนุญาตหรือ ทำอะไรเพิ่มไหม |
|
|
A: |
โดยหลักการต้องขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลเพื่อนำมาใช้ในการวิจัย เพื่อให้เป็นไปตาม พรบ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และตามหลักเกณฑ์ทางจริยธรรมการวิจัยในคน เนื่องจากการเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวเป็นการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลต่อผู้วิจัยโดยไม่ได้มีการอนุญาตไว้ก่อน เจ้าของข้อมูลได้แจ้งข้อมูล / ยินยอมให้ถ่ายภาพรังสีเพื่อการรักษาพยาบาลตนเอง ไม่ใช่เพื่อการวิจัย ผู้เก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลจึงไม่ควรนำข้อมูลของผู้ป่วยที่ให้ไว้ไปส่งต่อให้ผู้อื่นที่ไม่ได้รับอนุญาต |
|
|
|
|
ในทางปฏิบัติย่อมเป็นความยากที่จะตามกลับไปขอข้อมูลจากเจ้าของข้อมูล นอกจากนี้การที่ผู้เก็บรักษาข้อมูลแจ้งวิธีการติดต่อ เช่น หมายเลขโทรศัพท์ หรือวิธีการอื่นที่ใช้ในการติดต่อ เช่น email address, line ID (ถ้ามี) ให้แก่ผู้วิจัย ก็เป็นการเปิดเผยตัวตนก่อนการได้รับอนุญาตเช่นกัน เพราะการที่ผู้ป่วยแจ้งวิธีการติดต่อ |
|
|
|
ตัวเขาไว้ในเวชระเบียน ก็เพื่อการรักษาพยาบาล มิได้อนุญาตให้นำไปให้ผู้อื่นเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ดังนั้น CIOMS จึงได้แนะนำให้มีการขอความยินยอมแบบกว้าง (Broad consent) ไว้ล่วงหน้า เพื่อให้สามารถนำข้อมูลไปใช้เพื่อการวิจัยได้เพื่อประโยชน์ที่จะได้สร้างความรู้ใหม่เพื่อการพัฒนาการรักษาโรคและคุณภาพชีวิต โดยกำหนดข้อความที่ระบุข้อความในหนังสือแสดงเจตนายินยอมแบบกว้างไว้เป็นมาตรฐาน (CIOMS 2016 guideline 11,12) เพื่อลดภาระในการขอความยินยอมแก่ผู้วิจัย แต่ทุกโครงการที่จะมีการนำข้อมูลไปใช้เพื่อการวิจัยเช่นนี้ (มักจะเป็นการศึกษาย้อนหลัง – retrospective study) จะต้องได้รับการรับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคนประจำสถาบันก่อนเสมอ คณะกรรมการจริยธรรมฯ จะพิจารณาว่าการขอความยินยอมแบบกว้างนั้นเพียงพอหรือไม่ หากเป็นเรื่องอ่อนไหว หรือมีความเสี่ยงต่อเจ้าของข้อมูล อาจมีความจำเป็นที่จะต้องขอความยินยอมซ้ำอีก ในการติดต่อเจ้าของข้อมูลเพื่อขอความยินยอมซ้ำ เป็นหน้าที่ของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล) ดังนั้นผู้ควบคุมข้อมูล |